นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นในประเทศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งทหาร ตำรวจ และกองกำลังต่าง ๆ ให้เพิ่มความเข้มงวด และเพิ่มมาตรการป้องกันชายแดนอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่ลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ รวมถึงการเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติ เช่น เพิ่มจุดเฝ้าระวังในพื้นที่ที่เป็นช่องทางธรรมชาติที่สามารถเดินข้ามได้สะดวก ด้วยการวางเครื่องกีดขวางต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มกำลังลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมงทั้งในส่วนของการเดินเท้า การใช้รถจักรยานยนต์ การใช้รถยนต์ เรือ การใช้โดรนบินลาดตระเวน พร้อมตรวจจุดพักพิงตามแนวชายแดนให้มากขึ้น ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้เพิ่มมาตรการการตรวจสอบพื้นที่อีกชั้นหนึ่ง โดยจะต้องมีการสกัดกั้น ตั้งจุดสกัดต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการตรวจสกัดการลักลอบที่จะเข้ามาในประเทศอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันเฝ้าสังเกตคนที่เข้ามาในหมู่บ้าน หรือชุมนุม ที่ซึ่งแม้จะเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน หรือชุมชน แต่อาจมีการลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย หากประชาชนพบสิ่งผิดปกติ ขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบด้วย
ทั้งนี้ การลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด และหากมีขบวนการช่วยเหลือและลักลอบให้ต่างด้าวหรือคนไทยเข้าประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบของ ศบค. ในปัจจุบัน ทางรัฐบาลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อทำลายขบวนการดังกล่าวให้หมดไป
นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กองทัพได้รายงานการเพิ่มน้ำหนักงานข่าว และเฝ้าระวังชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนในพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มข้น โดยเสริมกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ รวมทั้งเพิ่มมาตรการสกัดกั้นและเฝ้าตรวจตามช่องทางต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันตกที่มีช่องทางธรรมชาติเป็นแนวยาว ด้วยการขยายผลติดตั้งไฟส่องสว่าง และกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมกว่า 40 ตัว รวมทั้งการวางแนวลวดหนามกว่า 100 ช่องทาง ระยะทางกว่า 6,000 เมตร และได้เพิ่มกำลังชุดปฏิบัติการและเครื่องมือเสริมการลาดตระเวนกลางวันและกลางคืน ทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ พร้อมทั้งตั้งจุดตรวจภายในหมู่บ้าน ร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำพื้นที่ ร่วมกันตรวจสอบคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและบุคคลต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองต่อเนื่องกันมา และพร้อมกันนี้ กองทัพได้ให้น้ำหนักกับมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองมากขึ้น โดยเพิ่มความเข้มข้นงานด้านการข่าวเชื่อมโยงเครือข่ายขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมทั้งได้ประสานการทำงานร่วมกับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของประเทศเพื่อนบ้านที่มีจุดผ่านแดนร่วมกัน เพื่อร่วมเฝ้าตรวจดูแลมาตรการเฝ้าระวังป้องกันร่วมกันมากขึ้นในภาพรวม”